พบกันอีกครั้งกับทริปพาเที่ยวกันยาวๆ ครั้งนี้เราจะพาขึ้นเหนือไปเที่ยว “ผาฮี้” จังหวัดเชียงราย โดยในครั้งนี้เราได้ยานพาหนะคู่การเดินทางท่องเที่ยวเป็นรถยนต์ Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition 4WD ซึ่งเป็นรถยนต์เอสยูวีเอนกประสงค์ขนาดกลาง ที่มาพร้อมขุมกำลังใหม่ ไฮเปอร์พาวเวอร์ (Hyper Power) เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล วีจี เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ เทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.4 ลิตร

Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition 4WD มาพร้อมหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบคอมมอนเรลเจเนอเรชันใหม่ ทรงพลังและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 5 (Euro 5) สร้างพละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,250 – 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติใหม่ ประสานการทำงานกับเครื่องยนต์ได้อย่างลงตัว พร้อมโหมดการขับขี่แบบออฟโรด 4 รูปแบบ ได้แก่ Gravel, Mud/Snow, Sand, Rock ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมประหยัดน้ำมันกว่าเดิม

ทริปนี้เราตั้งใจมานานแล้วว่าจะไปเที่ยวที่ผาฮี้ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย ผาฮี้ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่หลายๆ คนรู้จัก และที่สำคัญ เป็นแหล่งปลูกกาแฟคุณภาพอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ ดังนั้นพวกเราเลยมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่เลือกเดินทางไปเที่ยวที่ผาฮี้กัน แต่การเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งตรงไปยังผาฮี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะด้วยระยะทางประมาณ 12 ชั่วโมกว่าๆ ไม่ไหวแน่ๆ ดังนั้นเราเลยต้องไปแวะพักและเที่ยวกันที่เชียงใหม่ก่อน

Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition 4WD เป็นรถยนต์เอสยูวีที่มีขนาดกลางๆ ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป การเดินทางในครั้งนี้มีระยะเวลาก็สิบกว่าวัน กระเป๋าและสัมภาระที่เอาไปจึงมีจำนวนมาก แต่ด้วยพื้นที่เก็บของด้านหลังมีขนาดกว้างขวาง มันจึงสามารถที่จะใส่ของเราได้มากอย่างเหลือเฟือ






จากกรุงเทพฯ ไปยังเชียงใหม่ ระยะทางเกือบๆ 700 กิโลเมตร ระยะทางไกลๆ แบบนี้ก็ต้องมีแวะพักกันครึ่งทาง เราสองคนก็เลยแวะค้างคืนกันที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยเข้าพักกันที่โรงแรมตามสบายหนึ่งคืน รุ่งเช้าก็ออกเดินทางกันต่อ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ จ.เชียงใหม่

Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition 4WD รูปลักษณ์ภายนอกดูหรูหราและมีพลังอยู่ในตัว คันที่เราได้ในครั้งเป็นสีขาว ดูสวยสะอาดและคลาสสิคดี ภายในห้องโดยสารก็แลดูกว้าง อุปกรณ์ภายในก็ให้มาแบบครบครัน จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว ตัวหนังสือคมชัดดี ระหว่างการเดินทาง สิ่งที่สำคัญและจำเป็นก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องเสียง การเชื่อมต่อนั้นทำได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นแบบ Apple Carplay และ Android Auto หรือจะเชื่อมต่อผ่านบลูทูธก็เชื่อต่อได้ง่ายเช่นเดียวกัน ในเรื่องของเสียงนั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับที่โอเค



จากนครสวรรค์ก็ออกเดินทางกันต่อ โดยมุ่งหน้าสู่ จ.เชียงใหม่ แต่ครั้งนี้เราเดินทางไปพักค้างคืนกันที่ บ้านแม่ออน ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นบ้านของน้องที่รู้จักกัน และการเดินทางไปเที่ยวที่ผาฮี้ในครั้งนี้ เราจะมีสมาชิกเดินทางไปด้วยอีกสองคน

เช้าของอีกวันที่บ้านแม่ออน จ.เชียงใหม่ วันนี้คือวันแรกของการเดินทางไปเที่ยวที่ผาฮี้ ที่เก็บของด้านหลังเต็มไปด้วยกระเป๋าและสัมภาระของเราทั้งสี่คน ถูดจัดวางให้เข้าที่อย่างลงตัว ด้วยขนาดของพื้นที่ที่กว้างขวาง มันจึงสมารถที่จะใส่ของจำนวนมากได้อย่างเหลือเฟือ



พวกเราเปิดเฟรมแรกของการเดินทางกันที่ป้ายทางเข้าของบ้านแม่ออน อากาศในวันนี้เป็นใจมากๆ ท้องฟ้าแจ่มใส ก็สร้างภาพกับบริเวณทางเข้าบ้านแม่ออนกันก่อนเลย ระยะทางจากบ้านแม่ออนไปยังผาฮี้ ประมาณ 2 ร้อยกว่ากิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง ขับกันยาวๆ เลยก็ได้ แต่ด้วยทริปของพวกเราคือการท่องเที่ยว ดังนั้นพวกเราเลยแวะเที่ยวกันไปเรื่อย จุดหมายแรกก็เลยตกลงกันว่าจะแวะที่ ฮิโนกิ แลนด์ ซึ่งระยะทางที่ดูจาก Google Maps ก็ 3 ชั่วโมงนิดๆ ระหว่างการเดินทางสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คงหกนีไม่พ้นกาแฟนั่นเอง เวลาบ่ายสามโมงกว่าๆ พวกเราก็เดินทางถึงที่ ฮิโนกิ แลนด์

ฮิโนกิ แลนด์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงใหม่ โดยจำลองรูปแบบของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นเอามาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้แวะชมและถ่ายรูปกัน ที่โดดเด่นเห็นชัดและเป็นเอกลักษณ์ก็ต้องนี่เลย อุโมงค์เสาโทริอิ ที่ถูกจำลองมาจากศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ ที่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของประเทศญี่ปุ่น โดยตั้งอยู่ที่เขตฟูชิมิ กรุงเกียวโต



ฮิโนกิ แลนด์ เจ้าของเป็นคนไทย ชื่อ “เฮียตี๋-อนิรุทธ์ จึงสุดประเสริฐ” วัย 61 ปี มีความตั้งใจที่จะทำที่นี่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของ จ.เชียงใหม่ โดยเก็บค่าเข้าเพียง 80 บาท คนไทยและชาวต่างชืติราคาเท่ากัน พวกเราแวะเที่ยวและสร้างภาพกันที่นี่อยู่นานพอสมควร ด้วยขนาดของเนื้อที่ที่กว้างขวาง จึงต้องใช้เวลานานพอสมควรในการเดินชมและสร้างภาพกัน






พลาดไม่ได้กับการสร้างภาพกับอุโมงค์เสาโทริอิ ที่ตั้งเรียงรายและมีสีสันสะดุดตา นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายๆ จุดที่สวยงาม รวมไปถึงแปลงดอกไม้หลากสีสันให้เราได้ชื่นชมและถ่ายรูป พลาดไม่ได้กับรูปปั้นแมวกวักขนาดใหญ่ ที่ทำออกมาได้น่ารักเอามากๆ



เดินสร้างภาพกันนานพอสมควร จนกระทั่งเวลาใกล้พลบค่ำ พวกเราทั้งหมดก็ได้ไปแวะพักค้างคืนกันที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เพราะที่ฝางก็ถือเป็นเส้นทางสายหลักที่มุ่งหน้าสู่ผาฮี้เช่นเดียวกัน






อากาศยามเช้าๆ ที่มีหมอกปกคลุมไปทั้วบริเวณที่พัก บรรยากาศแบบนี้มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องเดินเล่นสร้างภาพกัน จากที่พักที่ อ.ฝาง พวกเราทั้งหมดก็ออกพากันออกเดินทาง โดยมุ่งหน้าสู่บ้านผาฮี้ ระยะทางประมาณ 130 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง แค่นี้จิ๊บๆ สมาชิกร่วมทริปบางคนเอ่ย

Mitsubishi Pajero Sport ยังมีฟีเจอร์การชาร์จโทรศัพท์แบบ Wireless Charger ที่ให้เราได้ทำการชาร์จแบบไม่ต้องเสียบสาย ถือเป็นฟีเจอร์ที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับเราได้ดีมากๆ พอร์ทเชื่อมต่อก็จะมีมาให้หลายจุดภายในตัวรถ ที่นั่งด้านเบาะหลังก็กว้างขวาง นั่งสบายๆ ไม่อึดอัด ในเรื่องของความเย็นที่เบาะด้านหลังก็แยกเป็นอิสระ ผู้โดยสารสามารถที่จะปรับความเย็นได้ตามใจชอบ


การเดินทางไปยังบ้านผาฮี้ เส้นทางก็มีโค้งไปโค้งมา ขึ้นเขาบ้าง ลงเนินบ้าง แต่ด้วยสมรรถนะของ Mitsubishi Pajero Sport ที่มาพร้อมด้วยขุมกำลังใหม่ ไฮเปอร์พาวเวอร์ (Hyper Power) ด้วยแล้ว การเดินทางลุยๆ แบบนี้จึงไม่ต้องกังวลอะไรเลย ลุยๆ อย่างมั่นใจ กับการเดินทางไกลๆ แบบนี้ Mitsubishi Pajero Sport ก็เอาอยู่



ต้องยอมรับเลยว่า เส้นทางที่ไปยังบ้านผาฮี้นั้น ก็ถือว่าเอาเรื่องอยู่พอสมควร ไหนจะโค้งและคดไปมา ไหนจะขึ้นเขาและโค้งหักศอก ซ้ายที ขวาที ทำเอาสมาชิกร่วมทริปเกิดอาหารเวียนหัว แต่ก็ถือว่าสนุกและเป็นประสบการณที่ดีในครั้งหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้ บางเส้นทางก็แคบพอรถสวนกันได้ ขับไปก็ต้องระวังรถที่จะสวนมา ด้านซ้ายและขวาก็มีต้นไม้ใหญ่น้อยปกคลุมตลอด ดูแล้วสดชื่นดี จนกระทั่งพวกเราเดินทางไปถึงลานกว้างๆ ที่มีร้านค้าของชาวบ้าน เดินทางกันมายาวๆ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ก็เลยแวะจอดเพื่อลงไปยืดเส้นยืดสายกัน



อากาศเย็นๆ พอได้สัมผัส กับช่วงเวลาเกือบๆ จะหกโมงเย็น เหลืออีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะถึงบ้านผาฮี้กันแล้ว หันไปมองทางด้านหน้า จะมองเห็นป้ายสีขาวตัวหนังสือสีดำ ที่เขียนว่า บ.ผาฮี้ ตรงไป อ.แม่สาย เลี้ยวขวา และ บ.ลิเช เลี้ยวซ้าย เราก็ต้องขับตรงขึ้นไปยัง บ.ผาฮี้ จากจุดที่พวกเราแวะไปยังบ้านผาฮี้ก็ไม่ไกลมาก เดินทางเพียงแค่ 10 นาที่ก็ถึงที่พัก



บ้านผาฮี้ หรือ ดอยผาฮี้ ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ทางตอนเหนือสาย จ.เชียงราย มีพื้นที่อยู่ติดกับประเทศพม่า ผาฮี้จะอยู่ใกล้ๆ กับพระตำหนักดอยตุง ชาวบ้านส่วนมากจะเป็นชาวเขาเผ่าอาข่า พืชทางการเกษตรที่ขึ้นชื่อก็จะเป็น ชา และกาแฟ ที่บ้านผาฮี้ถือเป็นแหล่งเพาะปลูกกาแฟที่มีชื่อเสียง เพราะด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเล เมล็ดกาแฟของที่นี่จึงให้รสชาติที่ดี และเป็นที่นิยมสำหรับคอกาแฟโดยเฉพาะ



คืนนี้พวกเราจะเข้าพักที่ “ผาฮี้แลนด์” ที่พักของเราจะอยู่ห่างจากลานสาวกอดไปทางขวามือไม่มากนัก จอดรถข้างๆ ที่พักเสร็จแล้วก็พากันลากกระเป๋าและสัมภาระเข้าไปทำการเช็คอิน โดยมีน้องผู้ชายเจ้าของที่พักมาคอยต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร รับกุญแจเสร็จก็พากันลากกระเป๋าเข้าไปที่ห้องพักซึ่งอยู่บริเวณชั้นล่าง




ที่พักจะมีสองชั้น ด้านล่างจะทำเป็นห้องพัก ส่วนบริเวณชั้นบนจะเป็นในส่วนของร้านกาแฟและร้านอาหาร จองที่พักที่นี่หนึ่งคืนจะแถมอาหารเป็นหมูกระทะให้หนึ่งชุด และชุดกาแฟดริปให้ในยามเช้าอีกหนึ่งเซ็ต ราคมก็ถือว่าไม่แพง คิดราคาต่อหัว หัวละ 1 พันบาท ดีงามมากบอกเลย



สำหรับภายในบริเวณห้องพัก พื้นที่โดยรวมก็ถือว่ากำลังดี สิ่งอำนวยคสาสะดวกก็มีให้เท่าที่จำเป็น ทั้งกาต้มน้ำร้อน ปลั๊กไป ทีวี พัดลม หมอนสองใบ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าห่มสองผืน มีชุดโซฟาเล็กๆ ให้ได้นั่งเล่นชมวิวด้านนอก ห้องน้ำกว้างขวาง มีเครื่องทำน้ำอุ่นที่จุดด้วยเตาแก็สให้ด้วย รวมๆ ก็ถือว่าโอเคเลย



เปิดประตูที่เป็นกระจกบานเลื่อนออกไปด้านนอกระเบียง ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็จะเป็นหมู่บ้านผาฮี้ ปลูกเรียงรายลดหลั่นกันไปตามทางลาดของเชิงเขา มีภูเขาโอบล้อมทั้งซ้ายและขวา และที่บ้านผาฮี้จึงได้รับสมญานามว่าเป็นมาชูปิกชูของเมืองไทย



แสงแดดอ่อนๆ ในยามเย็นที่มาพร้อมๆ กับสายลมเย็นๆ บรรยากาศดีๆ และฟินๆ แบบนี้ การสร้างภาพกับสถานที่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเราไม่เคยพลาด พากันเดินขึ้นไปยังบริเวณชั้นบนของที่พัก ที่พักของเราถือเป็นทำเลที่มีมุมมองสวยงามแบบ 180 องศา เป็นที่พักทีอยู่สูง เราสามารถมองวิวทิวทัศน์ของบ้านผาฮี้ได้แบบครบ ๆ มองเห็นบ้านและสิ่งปลูกสร้างเป็นจำนวนมาก ตั้งเรียงรายลดหลั่นกันไปตามทางลาดที่เป็นเชิงเขา มองออกไปไกลๆ จะมองเห็นภูเขาเรียงตัวสลับกันอย่างสวยงาม จากบริเวณชั้นพวกเราก็พากันออกไปเดินเล่นชมวิวเพลินๆ กันที่ลานสาวกอด







ที่บริเวณลานสาวกอด บริเวณทางด้านซ้ายมือจะมีมุมให้นั่งชมวิวและสร้างภาพ ส่วนทางด้านขวามือจะมีร้านค้าขายของที่ระลึกและเสื้อผ้าของชาวเขา ใช้เวลาชมวิวและสร้างภาพกันไม่นานก็พากันเดินกลับไปยังห้องพัก นั่งเล่นพักผ่อนเพื่อรอเวลาของอาหารในมื้อค่ำที่บริเวณชั้นบน



บรรยากาศในยามค่ำคืนที่ความมืดเริ่มมาเยือน แสงไฟของที่พักในแต่ละหลังเริ่มส่องสว่างไปทั่วบริเวณ มื้อค่ำของพวกเราก็ได้เริ่มต้นขึ้นกันที่บริเวณชั้นสอง มื้อนี้พวกเราจะได้กินอาหารประเภทหมูกระทะกัน อากาศหยาวเย็นแบบนี้ การกินหมูกระทะที่มีเตาร้อน มันช่วยบรรเทาความหนาวเย็นได้พอสมควร





รายการอาหารที่ยกมาเสิร์ฟมมากมายหลายเมนูที่นอกเหนือไปจากหมูกระทะ บางเมนูก็จำชื่อไม่ไค่อยได้ ที่เห็นก็มีปลานิลทอด ไข่เจียว ชุดน้ำพริกกับผัก แล้วก็มีเมนูผัดผัก แต่ผักอะไรก็จำชื่อไม่ได้ รู้แต่ว่าน้องเจ้าของที่พักบอกว่ามีประโยชน์ ประมาณนี้ ก็กินๆ กันเข้าไปเถอะนะ

แสงไฟตามหมู่บ้านส่องสว่างแบบสลัวๆ มองไปไกลที่สุดขอบฟ้านั้นมืดมิด นั่งรับประทานอาหารไป คุยกันไป และสร้างภาพกันไปด้วย ท่ามกลางบรรยากาศอันหนาวเย็น น้องเจ้าของก็เดินมาคอยบริการอยู่ตลอดเวลา แถมยังช่วยอำนวยความสะดวกในการถ่ายภาพหมู่ให้กับพวกเราอีกด้วย ใช้เวลาในการรับประทานอาหารร่วมๆ สองชั่วโมงก็พากันเดินกลับลงไปยังห้องพักของตัวเอง อิ่มกันแล้วก็จะได้พักผ่อนกัน รอเพียงรุ่งเช้าของอีกวันจะได้ตื่นมาเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น





เช้าของอีกวันที่ผาฮี้ เสียงไก่ขันดังขึ้นเป็นระยะๆ เหมือนว่าเป็นนาฬิกาปลุก ลืมตาและมองออกไปที่ระเบียง จะเห็นท้อฟ้าเริ่มสว่าง ลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมหยิบโทรศัพท์ออกไปเพื่อทำการบันทึกภาพ มองไปทางบริเวณด้านขวามือ แสงสีส้มๆ เหลืองๆ ในยามที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า มันช่างสวยงามจริงๆ

พระอาทิตย์กำลังจะโผล่ตรงกลางระหว่างภูเขาสองลูก ไม่รอช้า รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดชัตเตอร์บันทึกภาพ กดชัตเตอร์สร้างภาพไปหลายสิบภาพ รวมไปถึงภาพมุมสูงและแบบมุมกว้างๆ ที่ถ่ายจากโดรนอีกด้วย






อาหารมื้อเช้าของที่นี่ก็จะเสิร์ฟมาเป็นข้าวต้ม พร้อมกับกาแฟดริป ข้าวต้มรสชาติอร่อยใช้ได้เลย อิ่มจากข้าวต้มก็ไปต่อด้วยกาแฟดริปที่มีเมล็ดกาแฟของผาฮี้ น้องเจ้าของที่พักก็จะทำการสาธิตการดริปกาแฟให้พวกเราดูก่อน




หลังจากนั้นก็ให้พวกเราลองดริปกาแฟเอง กิจกรรมดริปกาแฟก็ถือว่าสนุกและได้ความรู้ดี เสียดายที่กาแฟที่ใช้ดริแเป็นแบบคั่วอ่อน รสชาติก็เลยจะติดเปรี้ยวไปหน่อย แต่ก็ถือว่าสนุกสนานกันดีทีเดียว



เช้านี้แล้วสิที่พวกเราจะต้องล่ำลาผาฮี้เพื่อเดินทางกลับ เก็บกระเป๋าเดินทางพร้อมสัมภาระไปใส่ไว้ที่ท้ายรถ หลังจากนั้นก็ขับรถไปยังบริเวณลานสาวกอดอีกครั้งเพื่อเก็บภาพ เก็บบรรยากาศและความทรงจำดีๆ ครั้งหนึ่งพวกเราได้มาเยือนที่นี่กันแล้ว




ยามเช้าแบบนี้อากาศค่อนข้างดีเลย แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องไปทั่วบริเวณ ใช้เวลาดื่มด่ำและสร้างภาพกันประมาณยี่สิบนาทีก็พากันขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับ คงเหลือเอาไว้เพียงแค่ความทรงจำดีๆ และบรรยากาศที่ประใจของที่ผาฮี้ ความทรงจำที่เมื่อครั้งหนึ่งพวกเราทั้งสี่คนได้เดินทางมาถึงแล้ว

และนี่ถือเป็การเดินทางท่องเที่ยวที่บอกเลยว่า ไกลที่สุดและใช้เวลานานที่สุดที่พวกเราเดินทางท่องเที่ยวกัน ถือเป็นประสบการณ์อันยิ่งใหญ่สำหรับการเดินทางท่องเที่ยว และก่อนเดินทางกันยาวๆ เพื่อกลับไปยังบ้านแม่ออน จ.เชียงใหม่







พอขับรถออกมาถึงทางแยกตรงบริเวณป้ายทางเข้าบ้านผาฮี้ พวกเราเลยพากันเดินทางลัดเลาะไปตามหมู่บ้านเพื่อไปแวะสร้างภาพเช็คอินกันที่ดอยช้างมูบ ซึ่งระยะทางก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านผาฮี้มากนัก สร้างภาพเช็คอินกันนานพอที่เก็บความทรงจำเอาไว้ มุมโน้นที มุมนี้ที จนอิ่มเอิบกับบรยากาศก็ได้เวลาเดินทางกลับ มุ่งหน้าสู่บ้านแม่ออน จ.เชียงใหม่ ทริปนี้ก็เป็นอันสิ้นสุดลงไปได้อย่างสมบูรณ์

ขอขอบคุณ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อยานพาหนะ Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition 4WD สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวบ้านผาฮี้ในครั้งนี้