ฤดูฝนใกล้เข้ามาแล้ว หลายคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และโรคภูมิแพ้ทั้งทางจมูก และทางผิวหนัง อาจเริ่มกังวลกับความชื้นที่มาพร้อมกับหน้าฝน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย และกลิ่นอับชื้น วันนี้เรามีคำแนะนำดีๆจาก แพทย์หญิงศิวาพร ทรัพย์สพรั่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา เจ้าของเพจ @wawa.allergy ที่มีผู้ติดตามกว่าสามหมื่นคนบน TikTok ที่จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับการรักษาสมดุลความชื้นในอากาศเพื่อสุขภาพที่ดีของคนในบ้าน พร้อมทั้งแนวทางการดูแลรักษาสุขภาพในช่วงหน้าฝนให้ห่างไกลจากโรคภัยต่างๆ ที่มาพร้อมกับฝนและความเหนียวเหนอะหนะ ไม่สบายตัว และกลิ่นเหม็นอับชื้น ให้ทุกคนได้รักษาสุขภาพ ห่างไกลจากโรคภัยต่างๆในช่วงฤดูฝนกัน
ความชื้นในอากาศคืออะไร
ความชื้น (Humidity) คือความเข้มข้นของไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศ โดยระดับความชื้นในอากาศที่เหมาะสม และช่วยให้ร่างกายรู้สึกสบายตัวมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 40% RH – 60% RH และหากในบ้านมีความชื้นมากเกินไปนอกจากจะทำให้ร่างกายรู้สึกอึดอัดแล้ว ยังทำให้อากาศภายในห้องเกิดไอน้ำ คราบน้ำ หรือละอองน้ำจำนวนมาก ซึ่งเชื้อราและแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ที่มีความชื้น ที่นอกจากจะส่งกลิ่นเหม็นอับแล้ว สปอร์ของเชื้อรายังเป็นภัยคุกคามที่เข้าไปกระตุ้นโรคภูมิแพ้และหอบหืด อีกทั้งยังทำให้ร่างกายเหนียวเหนอะหนะและรู้สึกไม่สบายตัวอีกด้วย นอกจากนี้ความชื้นที่มากเกินไปยังส่งผลให้วัสดุที่เป็นผ้า พรม เฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ได้รับความเสียหายอีกด้วย
มารู้จักความสำคัญของความสมดุลของความชื้นในอากาศกันเถอะ
ความชื้นกับฤดูฝนเป็นของคู่กัน การที่มีความชื้นสูงในอากาศมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ เนื่องจากอากาศที่มีปริมาณความชื้นสูงสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัสบางชนิดทำให้มีโอกาสติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น เช่น ไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ ภูมิแพ้กำเริบ หอบหืด รวมถึงโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา ผดร้อน ผื่นลมพิษต่างๆ ที่อาจโดนกระตุ้นจากอุณหภูมิและความชื้น
การดูแลสุขภาพและเพิ่มคุณภาพชีวิตเริ่มต้นได้ง่ายๆจากการรักษาสมดุลความชื้นในอากาศภายในบ้าน เนื่องจากความชื้นที่สมดุลสามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ทำให้บ้านสะอาดและปลอดภัยจากสารก่อภูมิแพ้ ดังนั้น การรักษาระดับความชื้นที่เหมาะสม ประมาณ 40% RH– 60% RH จะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และเชื้อรา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการภูมิแพ้ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม และคันตา หรือแม้แต่โรคภูมิแพ้ผิวหนังกำเริบนั่นเอง
จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อความชื้นในอากาศไม่สมดุล
- ความชื้นมากเกินไป เอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจ ทำให้คนที่แพ้สิ่งกระตุ้นเหล่านี้มีอาการภูมิแพ้กำเริบ ไม่ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูกหรือหอบหืด และอาจทำให้ผู้ป่วยที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมีอาการคัดจมูก จาม น้ำมูกไหล หรือเป็นลมพิษได้
- ความชื้นน้อยเกินไป ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้งลง ขนพัดโบกในจมูกทำงานได้ลดลง(Mucociliary Clearance) ทำให้ทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองง่าย เกิดอาการแสบจมูก เลือดกำเดาไหลง่าย เจ็บคอ คอแห้ง ไอ และยังทำให้ติดเชื้อทางเดินหายใจง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ตาแห้ง เคืองตา และผิวหนังแห้งหยาบกร้านและเกิดผื่นได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
ฤดูฝนนี้ไม่อยากป่วยบ่อย ต้องทำอย่างไร
การป้องกันคือหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่เราแพ้ รวมไปถึงปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อโรคภูมิแพ้ เช่น กำจัดไรฝุ่น ทำความสะอาดห้องเป็นประจำ เปิดระบายอากาศในห้องเพื่อไม่ให้ความชื้นสูงเกิน อาจใช้เครื่องลดความชื้น ที่มีมาตรฐานสามารถปรับความชื้นที่เหมาะสมในห้องเพื่อลดการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย ปรับสภาพแวดล้อมในที่อยู่อาศัยให้อากาศในห้องไม่ชื้นและสะอาด ใช้เครื่องลดความชื้นในบ้าน อีกทั้งยังควรรักษาความสะอาดของร่างกาย ล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดการติดเชื้อที่มากับฤดูฝน ดื่มน้ำให้มากขึ้น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ใช้ยาคุมอาการตามแพทย์สั่ง และคอยสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการกำเริบควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับยา
บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านระดับโลก ขอแนะนำนวัตกรรมเครื่องลดความชื้น LG PuriCare™ ที่มาพร้อม ดูอัล อินเวอร์เตอร์ (Dual Inverter) ระบบคอมเพรสเซอร์ที่ทรงประสิทธิภาพ ทนทาน ประหยัดพลังงาน และลดเสียงรบกวนในขณะทำงาน มาพร้อมระบบ Ionizer ที่ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยหลักการทำงานที่ตัวเครื่องจะดูดความชื้นในอากาศกลั่นออกมาเป็นน้ำเก็บไว้ในแทงก์ภายในตัวเครื่อง หรือระบายออกทางท่อน้ำทิ้ง สามารถลดความชื้นได้ 19 ลิตรต่อวัน และยังสามารถลดความชื้นได้สูงสุด 30 ลิตรในวันที่ความชื้นสัมพัทธ์สูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เพื่อคืนสมดุลความชื้นในอากาศพร้อมความรู้สึกสบายตัว ไม่เหนียวเหนอะหนะช่วยให้คุณและคนครอบครัวใช้ชีวิตได้สบายขึ้น หายใจสะดวก และลดโอกาสการก่อสารเกิดภูมิแพ้ที่เป็นอันตราย