วินฟาสต์ VF 3 คือมินิเอสยูวีรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเวียดนาม และคาดว่ามีแนวโน้มจะทำยอดขายได้ดีไม่แพ้กันหากได้มาเปิดตัวในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่มีศักยภาพอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย ด้วยดีไซน์ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเมือง โดนใจคนรุ่นใหม่ และกลุ่มลูกค้าผู้หญิงที่มีความต้องการในการใช้ยานพาหนะที่เปลี่ยนแปลงไป
ด้วยกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มลดลง อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกำลังเผชิญภาวะชลอตัว เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ บริษัทรถยนต์ต่างๆ ต้องแก้เกมโดยมุ่งนำเสนอรถยนต์ที่หลากหลายรุ่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นที่มีราคาเข้าถึงได้ง่าย วินฟาสต์ก็เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอีกรายซึ่งมุ่งใช้กลยุทธ์ดังกล่าว ด้วยการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายที่กำลังซื้อแตกต่างกันไป และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกับมินิเอสยูวีไฟฟ้ารุ่น VF 3 ใหม่ ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมในเวียดนาม ด้วยยอดสั่งซื้อล่วงหน้าโดยเฉลี่ยเกือบ 7 คันต่อนาที
VF 3 ตอกย้ำความมุ่งมั่นของวินฟาสต์ในการขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าหลายประเภทเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการเดินทางที่หลากหลายของผู้บริโภค
จากรายงานขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency – IEA) ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ภายใต้ภาวะทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ราคาที่จับต้องได้ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการใช้ EV ในวงกว้าง
IEA คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2567 โดยแตะ 17 ล้านคันทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้น 21%
เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งหมายความว่ายอดขายรถยนต์ใหม่ 1 ใน 5 จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
รายงานดังกล่าวเผยว่าอัตรากำไรที่ตึงตัว ราคาโลหะสำหรับผลิตแบตเตอรี่ที่ผันผวน อัตราเงินเฟ้อที่สูง และการลดแรงจูงใจ
ในการซื้อ EV ในบางประเทศ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า แต่ข้อมูลการขายทั่วโลกยังคงแข็งแกร่ง
ยอดจองซื้อล่วงหน้าที่ทำลายสถิติของ VF 3 เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของราคาที่เข้าถึงได้ ด้วยราคาเริ่มต้นที่เพียงประมาณ 9,248 ดอลล่าร์สหรัฐฯ พร้อมระบบเช่าแบตเตอรี่ และประมาณ 12,390 ดอลล่าร์รวมแบตเตอรี่
สำหรับเงินดาวน์ ลูกค้าต้องจ่ายเพียงประมาณ 1,965 – 2,750 ดอลลาร์ ยอดคงเหลือสามารถผ่อนชำระเป็นรายเดือน
ประมาณ 78.5 ดอลล่าร์เป็นเวลา 8 ปี และเมื่อเปรียบเทียบการซื้อ VF 3 โดยจ่ายเต็มจำนวนครั้งเดียวจะมีราคาเพียงครึ่งหนึ่งของราคารถยนต์เบนซินที่ถูกที่สุดในตลาดเวียดนามในปัจจุบัน
เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าวินฟาสต์รุ่นอื่นๆ VF 3 มีการรับประกันตัวรถ 7 ปีหรือ 160,000 กม. (แล้วแต่ระยะใด
จะถึงก่อน) และรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปีโดยไม่จำกัดระยะทาง
สำหรับมิติของ VF 3 คือมินิเอสยูวีที่มีความยาว 3,190 มม. กว้าง 1,679 มม. และสูง 1,622 มม. ระยะฐานล้อ 2,075 มม. และล้ออัลลอยขนาดสูงสุด 16 นิ้ว มีระยะสูงห่างจากพื้นถึง 191 มม. ทำให้สามารถใช้งานในสภาพภูมิประเทศต่างๆ ได้ดี
การตกแต่งภายในของ VF 3 ดูทันสมัยด้วยการใช้โทนสีที่มีสไตล์ พรั่งพร้อมด้วยฟีเจอร์เพื่อประสบการณ์การขับขี่
ที่สะดวกสบาย โดดเด่นด้วยหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 10 นิ้วที่บริเวณหน้าคนขับ ห้องโดยสารที่ออกแบบเพื่อรองรับผู้โดยสารได้ 4 คน พร้อมเบาะหลังแบบพับได้ที่ขยายพื้นที่เก็บสัมภาระเป็น 285 ลิตร
ระบบส่งกำลังใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 32 กิโลวัตต์ ซึ่งให้แรงบิดที่ 110 นิวตันเมตร ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) ช่วยให้
รถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 50 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 5.3 วินาที แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 18.64 กิโลวัตต์ชั่วโมง
มีระยะการขับขี่สูงสุด 210 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC) นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จด่วน จาก 10%
เป็น 70% ในเวลาเพียง 36 นาที
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดการณ์ว่าเวียดนามมีการเติบโตทางเศรษฐกิจของที่แข็งแกร่งในปี 2567 โดย GDP จะเพิ่มขึ้น 6.7% (6.2% ในครึ่งปีแรก และ 6.9% ในครึ่งปีหลัง) ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจเวียดนาม อุตสาหกรรมการผลิตของประเทศได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่กำลังดำเนินอยู่
ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสในการพัฒนามากมาย
นอกจากนี้ เวียดนามยังมีปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมในการรองรับการย้ายฐานการผลิตจากจีน ขณะเดียวกัน
เวียดนามเองก็ได้พัฒนาประเทศไปสู่ภาคการผลิตที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยในเดือนสิงหาคม 2566 เวียดนามได้ลงนามและดำเนินการข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) จำนวน 19 ฉบับ
ข้อตกลงการค้าเสรีเหล่านี้ส่งผลให้สินค้าเวียดนามได้รับการยอมรับในระดับสากลมากขึ้น ซึ่งช่วยให้เวียดนามได้รับประโยชน์จากปริมาณการค้าที่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากที่ตั้งทางยุทธศาสตร์แล้ว เวียดนามยังมีข้อได้เปรียบจากจำนวนประชากรมากกว่า 100 ล้านคน และจำนวนแรงงานที่มากถึง 56 ล้านคน ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย