บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ จำกัด (LG) ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2567 กวาดรายได้รวมอยู่ที่ 21.69 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 5.7 แสนล้านบาท) และมีกำไรจากการดำเนินงาน 1.2 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 3.1 หมื่นล้านบาท) เติบโตขึ้น 8.5% และ 61.2% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลการดำเนินงานทั้งในแง่ของรายได้และกำไรจากการดำเนินงานสร้างสถิติสูงสุดครั้งใหม่ของไตรมาส 2
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันผลการดำเนินงานนี้้ ได้แก่ ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งทั้งสองธุรกิจสามารถสร้างรายได้รายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยอดขายรวมจากธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ และธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ มีมูลค่ารวมสูงถึง 11.53 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 8.2% จากปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงานสูงสุดในไตรมาส 2 รวมอยู่ที่ 776.1 พันล้านวอน (หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท) เติบโตขึ้น 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การเติบโตอย่างสมดุลของแอลจีทั้งในธุรกิจหลักและธุรกิจแห่งอนาคตนี้ ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงการขยายตัวจากภายนอกและการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงการพัฒนาอย่างมั่นคงในด้านคุณภาพการดำเนินงานโดยรวม
ทั้งนี้ แอลจียังคงปรับเปลี่ยนพอร์ตโฟลิโอทางธุรกิจไปสู่แนวทางที่มุ่งเน้นการรองรับอนาคต ด้วยการเพิ่มศักยภาพสูงสุดให้แก่กลุ่มธุรกิจเดิม พร้อมทั้งสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ ควบคู่กันไป โดยบริษัทฯยังคงมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
การเติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มธุรกิจ B2B ของแอลจี ถือว่ามีส่วนสำคัญในการวางโครงสร้างให้แก่ธุรกิจที่มุ่งเน้นรองรับอนาคต แม้จะมีการชะลอตัวชั่วคราวของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า แต่ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ยังสามารถเติบโตได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากฐานลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน รวมไปถึงคำสั่งซื้อคงค้าง (Backlog) ที่ยังแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ธุรกิจระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศ (HVAC) ของแอลจี รวมถึงเครื่องทำความเย็นประสิทธิภาพสูง กำลังมีโอกาสเติบโตในภาคอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยี AI
ในด้านธุรกิจ B2C แอลจีกำลังเร่งพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ที่ควบรวมการจำหน่ายฮาร์ดแวร์แบบดั้งเดิมเข้ากับการให้บริการด้านคอนเทนต์ บริการเสริม และการสมัครสมาชิก ในด้านธุรกิจคอนเทนต์และบริการของ webOS กำลังขยายตัวจากผลิตภัณฑ์ทีวีไปสู่กลุ่มไอทีและระบบสาระบันเทิงในรถยนต์ โดยคาดการณ์ว่าจะทำรายได้สูงกว่า 1 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท) ในปีนี้
นอกจากนี้ ธุรกิจแบบสมัครสมาชิก (Subscription) ซึ่งเป็นการผสมผสานผลิตภัณฑ์เข้ากับบริการต่างๆ ก็มีแนวโน้มการเติบโตอย่างน่าทึ่ง โดยหลังจากประสบความสำเร็จในตลาดเกาหลี แอลจีกำลังจะขยายโมเดลนี้ไปสู่ระดับนานาชาติ ในปีที่แล้ว รายได้จากธุรกิจแบบสมัครสมาชิกคิดเป็นมูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท) โดยมีการเติบโตสูงขึ้นในปีนี้ ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยอดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านกลุ่มหลักจาก LG Brand Shop ในเกาหลีมาจากการสมัครสมาชิกถึง 36.2% โดยโมเดลนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มลูกค้าชาวเกาหลีรุ่นใหม่ และกำลังได้รับการนำเสนอสู่ตลาดโลก จะเห็นได้จากการที่แอลจีได้เปิดตัว LG Rent-Up ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้นำเสนอบริการในรูปแบบการสมัครสมาชิกสำหรับผลิตภัณฑ์ 9 รายการ รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า และตู้เย็น
แอลจียังเร่งการพัฒนากลุ่มธุรกิจใหม่ อาทิ ธุรกิจโรงงานอัจฉริยะที่ผสานความเชี่ยวชาญในด้านกระบวนการผลิตเข้ากับเทคโนโลยี AI โดยคาดว่าจะได้รับคำสั่งซื้อมูลค่า 3 แสนล้านวอน (หรือประมาณ 7,800 ล้านบาท) ในปีนี้ จากการขยายฐานลูกค้าไปในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีชีวภาพ นอกจากนี้ ความร่วมมือของแอลจีกับ ChargePoint บริษัทด้านการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยการผสมผสานเครื่องชาร์จของ ChargePoint เข้ากับโซลูชันการโฆษณาบนจอแสดงผลเชิงพาณิชย์ของแอลจี ‘LG DOOH Ads’ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ทางการตลาด
ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ สร้างรายได้ในไตรมาส 2 คิดเป็นมูลค่า 8.84 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 2.38 แสนล้านบาท) และมีกำไรจากการดำเนินงาน 6.94 แสนล้านวอน (ประมาณ 1.87 หมื่นล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้เพิ่มขึ้น 11% และผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 16% ซึ่งถือเป็นยอดรายได้สูงสุดในช่วงไตรมาสเดียว และเป็นกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2 ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ในไตรมาส 2 กลยุทธ์ด้าน Volume Zone ของแอลจี ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่แตกต่างกัน ได้พิสูจน์ความสำเร็จในด้านประสิทธิภาพด้วยการกระจายไลน์อัปผลิตภัณฑ์และราคาให้หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดเกิดใหม่เช่น ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รายได้จากธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบสมัครสมาชิกและยอดขายจาก Online Brand Shop ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้อีกด้วย สำหรับไตรมาส 3 แอลจีจะยังคงรักษาความคล่องตัวในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและขยายธุรกิจในส่วนของ B2B อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม HVAC และเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบบิลท์อิน โดยคาดว่าการเข้าซื้อกิจการบริษัท Athom แพลตฟอร์มบ้านอัจฉริยะ เมื่อไม่นานมานี้ จะสร้างการผนึกกำลังในกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของแอลจี นอกจากนี้ แอลจีจะใช้ศักยภาพในการผลิตสินค้าชั้นนำระดับโลก เพื่อรักษาความสามารถในการสร้างผลกำไรที่แข็งแกร่งต่อไป
ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ สร้างรายได้ในไตรมาส 2 คิดเป็นมูลค่า 2.69 ล้านล้านวอน (ประมาณ 7.24 หมื่นล้านบาท) และมีกำไรจากการดำเนินงาน 81.7 พันล้านวอน (ประมาณ 2.2 พันล้านบาท) โดยรายได้เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน และกำไรจากการดำเนินงานกลับมาเป็นบวก นับเป็นรายได้สูงสุดเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส และมีกำไรจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงไตรมาส 2
แม้จะมีการชะลอตัวชั่วคราวในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงนี้ แต่แอลจีก็สามารถสร้างการเติบโตได้ด้วยการตอบรับต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อินโฟเทนเมนต์ระดับพรีเมียมในยานยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการวางแผนสำหรับการขยายธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์นี้รวมถึงการเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มพรีเมียม ตลอดจนโซลูชันด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบาย เช่น ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advanced Driver Assistance Systems) สอดคล้องกับคำสั่งซื้อที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ในธุรกิจโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ สร้างรายได้ในไตรมาส 2 คิดเป็นมูลค่า 3.62 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 9.64 หมื่นล้านบาท) และมีกำไรจากการดำเนินงาน 9.7 หมื่นล้านวอน (หรือประมาณ 2.58 พันล้านบาท) รายได้เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของความต้องการซื้อในตลาดยุโรป ซึ่งเป็นตลาดสำคัญสำหรับทีวีระดับพรีเมียมอย่าง OLED นอกจากนี้ ธุรกิจคอนเทนต์และบริการบนแพลตฟอร์ม webOS ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยอดผลกำไรจากผลประกอบการลดลงเนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัจจัยเรื่องราคาของจอ LCD ที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าความต้องการในตลาดทีวีโดยรวมจะมีการเติบโตเล็กน้อยในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยทีวีระดับพรีเมียมอย่าง OLED มีแนวโน้มที่จะทำผลประกอบการได้ดีกว่าตลาดในภาพรวม ทั้งนี้ แอลจีจะมุ่งรักษาประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยพยายามลดภาระต้นทุนให้น้อยที่สุดเช่น เพิ่มยอดขายทีวี OLED ให้มากขึ้นเพื่อรับมือกับเรื่องราคาของแผงหน้าจอ LCD ที่เพิ่มสูงขึ้น
ในด้านของกลุ่มธุรกิจโซลูชันสำหรับองค์กร สร้างรายได้ในไตรมาส 2 คิดเป็นมูลค่า 1.46 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 3.89 หมื่นล้านบาท) และขาดทุนจากการดำเนินงาน 5.9 พันล้านวอน (หรือประมาณ 157 ล้านบาท) มีรายได้เพิ่มขึ้น 9.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นเช่น จอแสดงผล LED ป้ายอิเล็กทรอนิกส์ กระดานอิเล็กทรอนิกส์ และจอเกมมิ่งมอนิเตอร์ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งราคาจอ LCD ที่สูงขึ้น และการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจที่มีการเติบโต เช่น ธุรกิจชาร์จพลังงานของยานยนต์ไฟฟ้าและหุ่นยนต์ เป็นต้น
สำหรับในไตรมาส 3 มีการคาดการณ์ว่าการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมเช่น จอแสดงผลเชิงพาณิชย์และจอเกมมิ่งมอนิเตอร์จะยังคงเติบโตต่อไป ซึ่งแอลจีจะมุ่งเน้นเรื่องการขยายยอดขายของผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ และปรับปรุงความสามารถในการทำกำไร ผ่านการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ